สำหรับใครที่ไม่รู้จัก #Tinder วันนี้เราจะได้มาทำความรู้จักที่มาที่น่าสนใจของแอปนี้กัน Tinder เป็นแอปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราสามารถตามหาคนที่ถูกใจ ภายในแอปจะมีโปรไฟล์ของผู้คนอยู่มากมาย และถ้าเราถูกใจก็สามารถปัดรูปของเขาไปทางขวา เมื่อมีคนที่สนใจเหมือนกันกับเรา แอปก็จะขึ้นใครว่า " It's match" เราก็สามารถเริ่มคุยได้เลย !!
1.เริ่มต้นจาก ไอเดียสุดพิเศษที่ไม่มีต้นทุน
Sean Rad ทำงานอยู่ในบริษัทสตาร์ทอัพที่ทำงานเกี่ยวกับบัตรเครดิตแห่งหนึ่ง ในตำแหน่ง General manager เขาได้รู้จักกับเพื่อนร่วมที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี เจ้านายของเขามีโปรเจคสำหรับการสนับสนุนสตาร์ทอัพหน้าใหม่ผ่านบริษัท Hatch Labs เขาจึงร่วมโปรเจคแข่งขันร่วมกันกับเพื่อนของเขา ในโครงการของ initiator หรือศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ ของเจ้านายตัวเอง
2.มองหาโอกาสอยู่เสมอและลงมือทำ
เขาเข้าร่วมโปรเจคด้วย proposal ของแอปพลิเคชันหาคู่ "#matchbox" ที่เป็นไอเดียของกล่องที่มีรูปของคนหากเราชอบก็ปัดขวา ไม่ชอบก็ปัดซ้าย หลังจากชนะการปวะกวด เนื่องจากเงินทุนที่ไม่มากพอเขาจึง พยายามติดต่อเพื่อนเก่าเพื่อขอยืมสถานที่ทำงาน พร้อม ๆ กับการทำงานประจำในโปรเจคเดิมต่อไปด้วย ในช่วงที่รอ แอปสโตล์ อนุมัติโปรเจคบัตรเครดิต เขาได้ขออนุญาติหัวหน้าบริษัทนำ "#matchbox" เข้ามาพัฒนาแอปพลิเคชันภายในบริษัท
3.เจาะตลาดถูกกลุ่ม ด้วย Insight ที่โดนจี้จุด
เริ่มแรก #Tinder ได้ทำการตลาดกับเด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการเจาะกลุ่มตลาดที่ถูกกลุ่มมาก ทำให้พวกเขาสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะขยายสู่ตลาดโลก ก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อจาก #matchbox เป็น #Tinder ที่ได้ไอเดียมาจากคำแปลที่ว่า เชื้อจุดไฟ เพราะอยากให้แอปประกายไฟที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
4.คนเราไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
เขาไม่ใช่คนที่ทำงานทุกอย่างคนเดียว แต่หาเพื่อนร่วมทีมเข้ามาช่วยให้บริษัทโตตั้งแต่แรก โดยเริ่มหาผู้เชี่ยวชาญเขามาเติมในส่วนต่าง ๆ เขามาเติมทีมเริ่มจาก
+ ทีมกลยุทธ์ jonathan badeen
- ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์
+ ทีมฝ่ายเทคโนโลยีเทคโนโลยี
+ ทีมสนับสนุนเงินทุน dinesh moorjani
- เจ้าของบริษัท Hatch Labs
+ ทีมฝ่ายออกแบบ Chirt
- ผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ ออกแบบโลโก้ไฟ
และเมื่อทุกอย่างพร้อมและทุกด้วยจึงค่อยทำการตลาดด้วยการชวนเพื่อนคนสุดท้าย
+ทีมการตลาด
- ผู้บริหารฝ่ายการตลาด Justin mateen
ช่วงเวลาที่นำโปรเจค #matchbox เข้าประกวด เขาได้เจอคำถามสัคัญจากคณะกรรมการว่า "เวลาคนที่จะจีบกันก็ต้องอยากเจอตัวจริงก่อน เพียงแค่รู้ภาพจะประสบความสำเร็จได้ยังไง ?" และเขาก้ได้ตอบกลับไปว่า
"มันไม่ได้สำคํญเลยว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร กับรูปภาพที่เห็น มันสำคัญที่บางทีเราไม่มีความกล้าที่จะ ออกไปเจอใครบางคน ดังนั้นการที่เราไปจีบใครบางคนทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าเขาเปิดโอกาสอยู่หรือเปล่า หรือไม่ได้สนใจเรา ก็อาจจะทำให้เราผิดหวังจนสุดท้ายอาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย ดังนั้นมันคงจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าเราจะได้รู้ก่อนว่าคนที่เรากำลังจะเข้าไปจีบก็กำลังสนใจเราอยู่เหมือนกัน"
และคำตอบนั้นก้ได้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
.
3.จับคู่สำเร็จแล้วกว่า 20,000 ล้านครั้ง
ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี Tinder เติบโตจนมียอดผู้ใช้ปัดซ้ายขวาถึง 1000 ล้านครั้ง ใน 1 วัน และเติบโตแบบก้าวกระโดดจนทำให้บริษัทพุ่งสู่ 3 แสนล้านบาทได้ในปัจจุบัน และถือเป็นแอปหาคู่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด เมื่อการปัดซ้ายขวากลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแอปอื่น ๆ มากมาย
.
นอกจากความสำเร็จในการจับคู่สำเร็จแล้วกว่า 20,000 ล้านครั้ง แอปยังมีจุดยืนสนับสนุนเพศทางเลือก และมีการจัดแคมเปญสนับสนุนผ่าน จากกลุ่มเป้าหมายเล็ก ๆ อย่างเด็กมหาวิทยาลัย แอปได้ขยายฐานสู่ Generation ต่าง ๆ ที่มี Insight เดี่ยวกันคือ ต้องการเปิดโอกาสและแสวงหาคนใหม่ ๆ ในยุคที่เราได้เจอหน้ากันอยากขึ้นนี้
.
ใครเคยลองใช้งาน Tinder หรือแอปหาคู่อื่น ๆ แล้วเกิดเรื่องราวที่น่าประทับใจ หรือเป็นข้อคิดสอนใจมาแบ่งกันด้วยกันได้ที่ข่างล่างนี้เลย
@alltimage